หน้าเว็บ

9.17.2555

Diary.

10.9.12
วันนี้เป็นวันจันทร์... ต้องตื่นไปโรงเรียนอื่นแล้ว... ที่โรงเรียนก็ไม่มีอะไรมาก
เหมือนปกติเช่นทุกอาทิตย์ เรียนจนถึงเย็นแล้วก็ไปเรียนพิเศษจีนต่อ
พอกลับบ้านมาก็อาบน้ำเล่นคอมดูการ์ตูนทำการบ้านแล้วก็นอน..







11.09.12
วันอังคาร.. ก็ต้องไปโรงเรียนอีกแล้ว ;_______;
โถ่ เมื่อไหร่โรงเรียนจะปิด อยากนอนตื่นสายมั่ง
ชีวิตประจำวันคือเรียน ทำงาน เล่นคอม นอน เออกินด้วยนะ 5555555
ชีวิตวันอังคารก็เหมือนกับวันทั่วๆไป.








12.09.12
วันพุธ.. ผ่านมาเกือบครึ่งสัปดาห์แล้วอีกสองวันก็วันศุกร์ > <
อยากนอนตื่นสายแล้ว 5555555555555
วันนี้แทบจะไม่ได้เรียน ครูให้เคลียร์งานมั่ง ไม่สอนมั่ง โหย สบายไป 5555
ดีนะ เราก็เคลียร์งานจะเสร็จเกือบหมดล่ะ ไม่งั้นทำงานใหม่ไม่ทันแน่ๆ 55555555








13.09.12
วันพฤหัส... พรุ่งนี้ก็วันศุกร์แล้วว ฮูเร้
วันนี้ก็เรียนสบายอีกแล้วจ้า 55555555555555 ครูไม่มาหลายคาบเลย
แต่คาบที่ครูไม่มาก็ต้องมานั่งปั่นงานอยู่ดี ;_______;
วันนี้แอบไปหลับคาบพระพุทธด้วยง่ะ ._______.








14.09.12
วันศุกร์.. ฮูเร้ๆๆๆ วันศุกร์แล้ว
แต่วันนี้ต้องเรียนวิทย์ =__________=
เรียนวิทย์ทีไรไมหลับตลอดเลย 5555555555555555
แต่อาทิตย์นี้แปลกมาก ไม่หลับเลย ถึงจะง่วงก็เถอะนะ 55555555
ปล.การที่ต้องไปคุยกับครูวิทย์คนนี้เป็นอะไรที่คุยด้วยยากที่สุด พูดอะไรผิดนิดหน่อยก็ไม่ได้เลยนะ =_____=








15.09.12
วันนี้วันเสาร์.. แต่ต้องตื่นเช้ากว่าปกติอีก ตื่นตีห้า....
ตั้งนาฬิกาปลุกอ่ะตีห้า แต่ตื่นตีห้าครึ่ง 555555555555555555555
ที่ต้องตื่นเช้าเพราะมีแข่งภาษาอังกฤษที่เชียงใหม่ NJspelling bee
โหย ไปนี่ได้ประสบการณ์ใหม่ๆเพียบ เด็กนร.ต่างโรงเรียนต่างจังหวัดมาก
เจอคนสวยๆหล่อๆก็เยอะเลย *0* ..... ชอบนร.จากโรงเรียนในเชียงใหม่คนนึงด้วย .////.
หล่อดี เก่งด้วย โห ออร่าจับมาก 555555555555555555555555555555








16.09.12
วันนี้วันอาทิตย์ ตื่นสายได้ วู้ฮู
แต่ต้องไปเฝ้าร้านของอากง เอาการบ้านไปทำที่นั่นทีไรไม่เคยเสร็จ
เดี๋ยวลุกขายลุกขาย พอทำได้นิดนึงก็ต้องลุกอีกล่ะ
เบื่อ =___________= สรุปว่าการบ้านก็ไม่เสร็จอีก กำ






9.12.2555

ผีไม่มีหน้า (Noppera Bou นปเปะระโบว)


 


ผีไม่มีหน้า (ญี่ปุ่น: のっぺらぼう Noppera Bou นปเปะระโบว ?) เป็นผีญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่ไม่มีใบหน้า มีแต่หน้าเกลี้ยงๆ คล้ายไข่ ซึ่งแม้แต่ตา จมูก ปาก ไม่มีบนใบหน้าเลย ผีตนนี้มักเที่ยวหลอกหลอนคนผ่านทางในเวลากลางคืน มีตำนานที่เล่าขานในจังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น บางครั้งก็เรียกผีตนนี้ว่า "มุจินะ" (ญี่ปุ่น: ムジナ Mujina ?)

ตำนาน  ตามตำนาน เกิดขึ้นที่เนินทางแห่งหนึ่งในจังหวัดอิวาเตะ ในเวลากลางดึก มีชายคนหนึ่งได้เดินทางผ่านบริเวนดังกล่าวเพื่อที่จะเข้าไปในเมือง ได้พบหญิงสาวสวมชุดญี่ปุ่นคนหนึ่งมีท่าทางร้องไห้ ราวกับจะกระโดดลงแม่น้ำเพื่อฆ่าตัวตาย ชายคนดังกล่าวจึงพยายามเข้าไปปลอบใจ และเข้ามากอด และตกใจเมื่อพบว่าใบหน้าของเธอไม่มีหน้า หน้าเกลี้ยงเหมือนไข่ปลอก จึงวิ่งหนีไป ราวกับว่าเธอจะวิ่งตามมาด้วย
จนกระทั่งเขาได้มายังร้านบะหมี่แห่งหนึ่ง เจ้าของร้านได้ถามว่าไปเจออะไรมา เขาตอบว่าเจอผีไม่มีหน้า เจ้าของร้านจึงถามว่า "ลักษณะเป็นแบบนี้ใช่ไหม?" และเจ้าของร้านบะหมี่ลูบหน้าจนหน้าหายกลายเป็นผีไม่มีหน้าอีกตน ชายคนนั้นจึงตกใจและวิ่งหนีออกไปจากร้าน
เรื่องราวที่เกี่ยวกับผีไม่มีหน้านั้น มักจะเป็นผีที่มาหลอกคนที่เดินผ่านทางในเวลากลางคืน และเป็นตำนานในสมัยเอโดะ

ที่มา : http://www.tumnandd.com/ผีไม่มีหน้า-noppera-bou-นปเปะระโบ/

ยมทูต (Psycho Pomp)


   

ยมทูต (อังกฤษ: Psychopomp (ออกเสียง)) “Psychopomps” มาจากภาษากรีกว่า “ψυχοπομπός” (psychopompos) ที่แปลตรงตัวว่า “ผู้นำวิญญาณ” เป็นจินตสัตว์ (creature), สิ่งที่มีจิตวิญญาณ (spiritual being), เทวดา, ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ในหลายศาสนาผู้มีหน้าที่พาวิญญาณผู้ที่เพิ่งสิ้นชีวิตไปยังดินแดนหลังความ ตาย (afterlife) หน้าที่นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการตัดสินผู้ตาย แต่เพียงนำทางเพื่อความปลอดภัย ยมทูตที่มักจะปรากฏในศิลปะเกี่ยวกับความตายจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ประเพณีและวัฒนธรรม บ้างก็เกี่ยวข้องกับม้า, กา, สุนัข, นกฮูก, นกกระจอก หรือกวาง

ตามหลักจิตวิทยาวิเคราะห์ของคาร์ล ยุง ยมทูตคือตัวกลางระหว่างจิตใต้สำนึกและจิตสำนึก บุคลาธิษฐานของยมทูตในฝันจะเป็นนักปราชญ์ หรือ สตรี หรือบางครั้งสัตว์ที่มีความกรุณา ในวัฒนธรรมบางวัฒนธรรมชาแมนจะ ทำหน้าที่เป็นผู้นำวิญญาณ ที่อาจจะรวมทั้งการนำวิญญาณของผู้เสียชีวิต หรือ ผู้เสียชีวิตอาจจะนำทางชาแมน ในการช่วยเหลือการกำเนิด หรือการนำวิญญาณของเด็กเกิดใหม่ให้เข้ามาในโลก(หน้า 36 ของ “Shamans in Eurasia”[1]) ที่เป็นการขยายความชื่อ “หมอตำแยแก่ผู้กำลังจะสิ้นใจ” (midwife to the dying) ซึ่งเป็นอีกหน้าที่หนึ่งของผู้นำวิญญาณ

ที่มา : http://www.tumnandd.com/207/

ตำนาน ผีสาวปากฉีก


ผีสาวปากฉีก (คุชิซาเกะอนนะ: 口裂け女 Kuchisake onna )
 เป็นผีญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอีกตนหนึ่ง ลักษณะของสาวปากฉีกคือ ปากจะฉีกถึงใบหู เรื่องเล่าของสาวปากฉีกมีทั้งฉบับดั้งเดิมกับฉบับปัจจุบัน ตำนานสาวปากฉีกในสมัยเฮอันเล่ามาว่า มีหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน เป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียง แต่โชคร้ายที่สามีของเธอ สงสัยว่าเธอจะไปมีชู้ ด้วยความโกรธจึงใช้ดาบคาตานะ ตัดปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อทำลายความงามของเธอ พร้อมทั้งถากถางว่า อย่างนี้แล้วใครจะคิดว่าเธองดงามอีก
สาวปากฉีกเมื่อตายไปจึงกลายเป็นวิญญาณพยาบาท มีพฤติกรรมที่น่ากลัว คือ มักจะยืนอยู่ตรงริมถนน ในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้ พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยมั๊ย? ถ้าตอบกลับไปว่าก็สวยนิ แล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ละ? เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวานชื่อดัง จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี
สาวปากฉีกจะเป็นอันตรายกับมนุษย์หรือไม่ แล้วแต่สถานการณ์ เธอมีความรวดเร็วสูง และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย ชื่นชอบเวลาได้รับคำชม หรือรู้สึกว่าตัวเองสวย เกลียดคนที่พูดโกหก และคนที่กลัวเธอ

ที่มา : http://www.tumnandd.com/ผีสาวปากฉีก/




9.05.2555

Gloomy Sunday

Gloomy Sunday(กลูมมี่ ซันเดย์) เป็นเพลงที่แต่งขึ้นโดยนักกวีชาวฮังการีผู้หนึ่ง ชื่อว่า "วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า" แต่งโดยหนุ่มฮังกาเรียนนามเรสโซ เซเรสส์ (Reszo Seress)

มัน เริ่มมาจากเมื่อเดือนธันวาคม ปี1932 เรสโซเป็นที่เป็นนักแต่งเพลงยากจน เขาพยายามหาเลี้ยงชีพอยู่ในนครปารีส แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะเพลงแต่ละเพลงของเขาไม่ได้รับความสนใจ อีกทั้งคนรักของเขาก็ไม่เห็นดีเห็นงามด้วยจนทะเลาะกันอยู่หลายครั้ง ในที่สุดในวันหนึ่ง ทั้งคู่ก็ต้องถึงคราวแยกทางกัน

ด้วย เหตุนี้ ในวันอาทิตย์วันหนึ่ง มันเป็นวันฝนตก เรสโซที่ทั้งหดหู่และเศร้าหมองด้วยเหตุการณ์ต่างๆก็ได้แต่งเพลงนี้ขึ้นในวัน นั้น ซึ่งเป็นการบรรเลงทำนองด้วยเปียโน เขาใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็ประพันธ์เพลงเสร็จ จากนั้นจึงได้ส่งไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆแต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับ
และ สุดท้ายก็มีสำนักพิมพ์บทประพันธ์แห่งหนึ่งรับไว้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากเพลงนี้ได้ถูกเผยแพร่ไป ยังมหานครต่างๆทั่วโลก...

ที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมันนี ชายหนุ่มคนหนึ่งได้ขอให้วงดนตรีเล่นเพลงกลูมมี่ซันเดย์ให้ฟัง หลังจากนั้น เขากลับบ้านและระเบิดศีรษะด้วยปืนรีวอลเวอร์หลังจากบ่นกับญาติๆว่าเขารู้สึก กดดันอย่างรุนแรงกับท่วงทำนองเพลงที่เขาไม่อาจลบมันออกไปได้
สัปดาห์ต่อมาที่กรุงเบอร์ลินสาวผู้ช่วยร้านขายของแขวนตัวตายอยู่ในแฟลตที่พัก พบบทเพลงกลูมมี่ซันเดย์อยู่ที่ห้องของเธอด้วย  สองวันหลังจากนั้น เลขานุการิณีในนิวยอร์กได้ฆ่าตัวตายด้วยแก๊ส ในจดหมายลาตายได้ขอร้องให้เล่นเพลงนี้ในงานศพของเธอด้วย
สัปดาห์ถัดมา ชาวนิวยอร์กอีกรายเป็นชายวัย 82 ได้กระโดดหน้าต่างอพาร์ตเมนท์ชั้น 7 ลงมาตาย โดยก่อนตายเขาได้เล่นเพลงนี้
ในเวลาไล่เลี่ยกัน วัยรุ่นกรุงโรมก็กระโดดสะพานฆ่าตัวตายหลังจากที่ได้ฟังเพลงมรณะนี้เช่นเดียวกัน
ไม่ นานนักเจ้าหน้าที่รัฐบาลผู้หนึ่งก็ได้ยิงตัวตายหลังจากที่ได ้อ่านเนื้อเพลงนี้ รายต่อมาเป็นเด็กหญิงคนหนึ่งที่พยายามกินยาพิษเมื่อได้ยินเพลงนี้จากเครื่องเล่นแผ่นเสียง
ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งในกรุงบูตาเบส ชายคนหนึ่งก็ไดยิงตัวตายในขณะที่เพลงนี้กำลังบรรเลงอยู่ และรายอื่นๆอีกมากมาย...
และ ผู้ประพันธ์เพลงนี้เองก็ต้องเจอชะตากรรมอันเลวร้าย เมือคิดจะไปคืนดีกับคนรัก แต่ในเวลาต่อมาเขาก็รู้ว่า คนรักของเขาได้กินยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว ที่ข้างร่างของเธอคือแผ่นกระดาษบทเพลงกลูมมี่ซันเดย์นั่นเอง

                                                         

รัฐบาล ฮังการีได้สั่งห้ามไม่ให้เปิดเพลงนี้ออกอากาศ แต่เหตุการณ์นี้ก็ยังเกิดในที่อื่นๆอีก เช่นที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งทางบีบีซีก็ได้ถูกสั่งห้ามเปิดเพลงนี้เช่นกัน แต่ในสหรัฐอเมริกา ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำอย่างรัฐบาลอังกฤษและฮังการี
โดยสรุปแล้วการฆ่าตัวตายนั้นได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเพลงนี้ประมาณ 200 รายทั่วโลก
และ ในปี 1968 ชาวอังกฤษคนหนึ่งก็ได้กระโดดจากชั้น 8 ของอาคารแห่งหนึ่ง เขาคือ เรสโซ เซเรสส์ ซึ่งไม่สามารถแต่งเพลงได้อีกหลังจากการแต่งทำนองเพลง "วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า"

และนี่เองคือที่มาสำหรับบทเพลงแห่งความตายที่มีชื่อว่า "วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า" หรือ "gloomy sunday"

ที่มา : http://www.facebook.com/notes/gloomy-sunday/ประวัติ-gloomy-sunday-thai-language/150267801712292?ref=nf

9.04.2555

เรือโนอาห์ (Noah's Ark)

                                                                


เรือโนอาห์ไม่ได้มีตำนานแบบไททานิค แต่เป็นเรื่องเล่าปรัมปรามานานแล้วว่า หลังจากที่ลูกหลานของอดัมและอีฟ เกิดขึ้นมามากมายในโลกใบนี้ โลกปะปนไปด้วยคนดีและคนชั่ว ซึ่งพระเจ้าเห็นว่าถึงเวลาล้างบางคนชั่วด้วยการสร้างน้ำท่วมใหญ่ แต่ก่อนจะลงมือกระทำการดังกล่าวก็ได้ออกเสาะหาคนดี ซึ่งก็ได้เจอเข้ากับกับนายโนอาห์ ที่เป็นคนดีและมีอายุยืนยาวถึง 500 ปี
พระเจ้าบอกกับโนอาห์ว่าจะทำให้เกิดน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ ซึ่งจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง แต่จะยกเว้นโนอาห์ และครอบครัวของเขาเอาไว้ โดยแนะนำให้โนอาห์สร้างเรือที่สามารถบรรทุกครอบครัวของเขา และสัตว์ต่างๆเอาไว้ได้ โนอาห์ได้ทำตามคำแนะนำของพระเจ้า โดยสร้างเรือขึ้นมาเมื่อ 2465 ก่อนคริสตกาล โดยเรือโนอาห์ยาว 450 ฟุต หนัก 4,100 ตัน
เมื่อสร้างเรือเสร็จ โนอาห์ก็พาภรรยา ลูกชายทั้ง 3 คน และสะใภ้ พร้อมด้วยเจ้าสัตว์น้อยใหญ่อย่างละหนึ่งคู่ อาทิ หมา แมว นก ช้าง เป็นต้น ขึ้นไปอยู่บนเรือจากนั้นพระเจ้าก็จัดการปิดประตูเรือให้
แล้วฝนก็เริ่มตกติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 40 วัน 40 คืน ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกจมอยู่ใต้น้ำ มีแต่เพียงเรือของโนอาห์เท่านั้นที่ปลอดภัยและลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
สุดท้ายเมื่อฝนหยุดตกเรือของโนอาห์ก็ลอยไปเกยตื้นอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ขณะนั้นทุกหนทุกแห่งยังคงเต็มไปด้วยน้ำ โนอาห์และพวกพ้องภายในเรือจึงยังออกไปไหนไม่ได้ และแล้วพระเจ้าก็บันดาลให้เกิดลมพัดทำให้น้ำค่อยๆแห้ง
ทางฝ่ายโนอาห์นั้นก็ส่งนกพิราบออกไปสังเกตลาดเลาว่าสมควรจะออกไปจากเรือได้หรือยัง ในครั้งแรกนกพิราบบินออกไปแล้วก็บินกลับมา เพราะทุกหนทุกแห่งยังเต็มไปด้วยน้ำ ครั้งที่สองโนอาห์ก็ส่งนกพิราบออกไปสำรวจอีก ปรากฏว่าเจ้านกน้อยกลับมาพร้อมกับกิ่งไม้เล็กๆ แสดงว่าน้ำเริ่มลดลงแล้ว
ต่อมาอีก 1 สัปดาห์ เจ้านกพิราบก็ถูกส่งออกไปอีกครั้ง และคราวนี้มันก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ทำให้โนอาห์แน่ใจว่าเขาและพวกพ้องสามารถออกจากเรือได้แล้ว สำหรับระยะเวลาที่เรือโนอาห์ลอยลำอยู่บนผิวน้ำก็คือประมาณ 1 ปีกับหนึ่งเดือนกว่าๆ
เพื่อเป็นการขอบคุณต่อพระเจ้าที่รักษาชีวิตพวกเขาไว้จากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกครั้งนั้น เขาได้สร้างป้ายบูชาหินเพื่อขอบคุณพระองค์
พระเจ้าได้ให้สัญญากับโนอาห์ว่าจะไม่ทำให้น้ำท่วมโลกอีก จะมีแต่สายรุ้งพาดผ่านอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งสายรุ้งนี้จะเป็นเครื่องเตือนความจำในสัญญาของพระองค์
















ที่มา :  http://writer.dek-d.com/suchaaom/story/view.php?id=225440#ixzz25W0s1HJK

10 อันดับคำสาปของโลก

อันดับ 10 เพชรโฮป (Hope Diamond)


เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจากพระ
นลาฏ(หน้าผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 1600 โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ มันผู้ใดที่
ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป!

และก็จริงตามคําสาป นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้จากนายทราวิเนียร์ พระองค์และพระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจาก
การปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี)
ล้วนประสบกับอัปมงคลจนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รีย์ วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวม
ใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน ในที่สุด ทายาทตระกูลวินสตันจึง
มอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทน

อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวรา, โปรตุเกส


วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คน
ครับ เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย! ตํานานวัดระบุว่า ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก แต่ได้
ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของเธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต เธอได้สาปให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่
ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจน
ปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธิ ก็นับเป็น
คําสาปที่ขลังยิ่ง

อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์

ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มดและ คําสาปมนต์ดํา ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขา
มาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไป-หากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่นบทแม็คเบ็ธ ผลของคําสาปอุบัติขึ้นตั้งแต่หนแรกสุด
ที่ละครนี้ออกแสดง โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที

และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่า
พรึงเพริดที่สุดก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่
ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน
แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา

อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์, สกอตแลนด์


ปี 1899 ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่น ในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่าเขา ขมังในเรื่องเวทมนตร์และ
เลี้ยงวิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้ เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว ก่อนตาย ครอว์ลีย์ ได้
สาปทิ้งท้ายไว้กับยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า “ปล่องไฟปีศาจ” และครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ซึ่งทําให้เขาขัดเคืองใจ จึงสาปว่า
เมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย สิ่งชั่วร้ายต่างๆก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วย

“ปล่องไฟปีศาจ” ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001 ยอดสูงราว 70 เมตร ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่
เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลยครับ ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว!

อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์, สหรัฐฯ


แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของ
วูดู กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการ จัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์

ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้ครับ เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน
แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ (ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร) ไม่เชื่อก็เดินทางร่วม
ทัวร์ไปพิสูจน์ได้

อันดับ 5 คําสาป ตุตันคาเมน, อียิปต์


ใครบังอาจขุดสุสานต้องมีอันเป็นไป ท่ามกลางดึกอันเงียบสงัดที่บ้านในชนบทประเทศอังกฤษ สุนัขตัวหนึ่งได้หอนอย่างโหยหวน เสียงของมันทำให้ทุกคนในบ้านนั้นตื่นขึ้นมาด้วยความเสียวสยองขนลุกไปตาม ๆ กัน มันเฝ้าแต่หอนจนเหนื่อยอ่อนล้มฟุบขาดใจตายไปอย่างเวทนา เหตุการณ์ประหลาดนี้เกินขึ้นที่บ้านของนักโบราณคดีสมัครเล่น ลอร์ดคาร์นาร์วอน อายุ 57 ปี ที่แฮมไชร์ ในเวลาเดียวกับที่สุนัขส่งเสียงหอนนั้น ห่างออกไปหลายพันไมล์ ลอร์ดคาร์นาร์วอน เองกำลังอยู่ในขั้นโคม่า ทุรนทุรายใกล้จะตายอยู่ในห้องโรงแรมคอนติเนตอล นครไคโร ประเทศอียิปต์ นี่คือที่มาจากอาถรรพ์คำสาปแช่งของฟาโรห์ ยุวกษัตริย์ตุตันคาเมน แห่งอียิปต์โบราณ ได้สำแดงอิทธิฤทธิ์คร่า 2 ชีวิตแรก สุนัขและเจ้าของ แล้วติดตามต่อมาด้วยความตายอย่างลึกลับอีกหลายชีวิต ด้วยคำสาปแช่งนี้ ลอร์ดคาร์นาร์วอน เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอียิปต์โบราณได้ทราบดีมาก่อนแล้ว ในระหว่างที่เขาวางแผนการที่จะขุดค้นหาขุมสมบัติในสุสานฟาโรห์ ขณะที่เขายังอยู่อังกฤษ ได้รับคำเตือนจากเคานต์ฮามอน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องไอยคุปต์อีกคนหนี่งว่า " ท่านลอร์ดไม่ควรที่จะเข้าไปในสุสานฟาโรห์ เพราะจะพบกับความวิบัติ ถ้าหากยังขัดขืนไม่เชื่อฟังจะได้รับความทุกข์ทรมานจากความเจ็บไข้ และไม่อาจรักษาได้ ความตายจะมาหาท่านเองใน อียิปต์" ลอร์ดคาร์นาร์วอน ก็มีความวิตกกังวลในเรื่องนี้อย่างยิ่ง เขาได้ไปหารือกับโหรที่มีชื่อเสียงถึง 2 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งเขาก็ได้รับคำทำนายว่า จะพบกับความตายอย่างลึกลับ แม้ว่าจะมีความวิตกกังวลในเพียงใด ลอร์ดคาร์นาร์วอน ได้เดินหน้าที่จะขุดปิระมิดของฟาโรห์ต่อไป เพราะเขาใฝ่ฝันและได้รับแรงดลใจมาหลายปีแล้ว เมื่อเขาเดินทางไปถึงอียิปต์ คำสาปแช่งของฟาโรห์เริ่มปรากฎแววให้เห็น นับตั้งแต่คนงานพื้นเมืองที่จ้างให้มาขุดสุสานใต้ปิระมิดที่ลูซอร์ตื่น ตระหนก ล้มเจ็บและหนีหายไป อาร์ธอร์ ไวกัลล์ เพื่อนร่วมทีมที่ใกล้ชิดของเขาคนหนึ่ง ได้เกิดหวาดหวั่นขึ้นมาถึงกับกล่าวว่า "ถ้าหากคาร์นาร์วอนยังคงดื้อดึงขุดสุสานต่อไป ชีวิตเขาจะไม่ยืนยาว" ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2466 คาร์นาร์วอน และคณะได้ขุดปิระมิดเข้าไปถึงสุสานห้องที่ไว้พระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมน ภายในนั้น ลอร์ดคาร์นาร์วอน และ โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ คู่หุชาวอเมริกันได้พบทรัพย์สมบัติจำนวนมากทั้งเพชรนิลจินดา รวมทั้งโลงทองคำที่บรรจุมัมมี่ของพระศพยุวกษัตริย์ เหนือสุสานนี้มีข้อความอักษรอียิปต์โบราณซึ่งแปลได้ว่า "มัจจุราชจะมาสู่ผู้ซึ่งรบกวนการบรรทมของฟาโรห์" สองเดือนต่อมาลอร์ดคาร์นาร์วอน ซึ่งตอนนั้นมีชื่อเสียงขึ้นมาในการค้นพบขุมทรัพย์ ได้ตื่นขึ้นภายในห้องที่โรงแรมคอนติเนตอลและกล่าวว่า "เหมือนกับอยู่ในขุมนรก" ซึ่งเป็นจังหวะที่ลูกชายของเขาเข้ามาในห้องนั้นพอดี หลังจากนั้น ลอร์ดคาร์นาร์วอน ก้ไม่ได้สติ คืนนั้นเอง ความตายได้มาคร่าชีวิตเขาไป ลูกชายของเขาได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นว่า "แสงสว่างเหมือนดูเหมือนจะเรื่องรุ่งขึ้นไปทั่วนครไคโร ผมต้องจุดเทียนแล้วสวดมนต์" ความตายของ ลอร์ดคาร์นาร์วอน มาจากถูกยุงกัดทำให้เป็นนิวมอเนีย แต่ที่น่าประหลาดอย่างยิ่งที่มัมมี่ของยุวกษัตริย์ฟาโรห์ก็มีรอยยุงกัดที่ แก้มซ้าย ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ ลอร์ดคาร์นาร์วอน ถูกยุงกัดเหมือนกัน หลังจากนั้นไม่นานนัก ความตายก็มาเยือนที่โรงแรมคอนติเนตอลอีก อาร์เธอร์ แมค นักโบราณคดีอเมริกันซึ่งร่วมทีมกันขุดสุสานครั้งนี้ด้วย ได้อุทธรณ์ว่าเขารู้สึกเหนื่อยอ่อน แล้วทันใดนั้นก็เข้าขั้นโคม่าเขาหมดลมก่อนที่หมอจะมาถึง และทางแพทย์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาตายด้วยโรคอะไร ความตายได้มาเยือนผู้เชี่ยวชาญไอยคุปต์อีกคนหนึ่ง เขาคือ จอร์จ กูล์ด เพื่อนสนิทของคาร์นาร์วอน ซึ่งได้รีบเดินทางมาอียิปต์หลังจากได้ทราบข่าวมาณกรรมของคาร์นาร์วอน กูลด์ ได้เดินทางไปที่สุสานของฟาโรห์ ในวันต่อมาเขาล้มฟุบลงด้วยเป็นไข้ขึ้นสูง อีก 12 ชั่วโมงต่อมาเขาถึงแก่กรรม อาร์ซิบัลด์ เรียด นักรังสีวิทยาที่ฉายเอ็กซ์เรย์มัมมี่พระศพฟาโรห์ได้ถูกส่งตัวกลับอังกฤษ เพราะเกินอ่อ
นเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเฉย ๆ แล้วก็ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ริชาร์ด เบธเฮลล์ เลขาส่วนตัว คาร์นาร์วอน ในการขุดค้นสุสานครั้งนี้พบว่านอนตายอยู่บนเตียงเนื่องนากหัวใจวาย โจเอล วูล ซึ่งเป็นแขกเชิญชุดแรกที่ไปดูสุสาน ตายในเวลาถัดมาไม่นานนัก ด้วยไข้ลึกลับที่แพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยได้ ภายในเวลา 6 ปีที่มีการขุดสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมน ผุ้ที่ได้ร่วมขุดค้นได้ตายไปถึง 12 คน และภายใน 7 ปีมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ร่วมในการขุดมีชีวิตอยู่ นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือใกล้ชิดผู้ที่ขุดสุสานจำนวน เกือบ 22 คน ได้ถึงแก่กรรมในเวลาไม่สมควร เช่น เลดี้คาร์นาร์วอน อีกคนหนึ่งทีฆ่าตัวตายด้วย เนื่องจากเกิดเป็นบ้าขึ้นมา มีผู้เดียวที่ร่วมเป็นหัวหน้าในการขุดสุสานฟาโรห์ที่โชคดีมีชีวิตอยู่คือ โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ แต่ก็มาตายตามธรรมชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2482 แต่ถึงกระนั้นคำสาปแช่งของฟาโรห์ก็ยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ในปีต่อ ๆ มาอีด ในปี พ.ศ. 2509 โมหะเม็ด อิบราฮัม ผู้อำนวยการพิพิภัณฑ์โบราณของอียิปต์ ซึ่งทางรัฐบาลของเขาได้สั่งให้นักทรัพย์สมบัติของฟาโรห์ ตุตันคาเมนไป จัดแสดงที่ปารีส ฝรั่งเศส เขาได้คัดค้านคำสั่งของรัฐบาล และเขาฝันว่าเขาได้เผชิญกับภยันตราย ถ้าหากทรัพย์สมบัติของฟาโรห์ถูกส่งออกนอกอียิปต์ หลังจากหารือกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลและคัดค้านไม่สำเร็จแล้ว ระหว่างที่เขาเดินทางกลับก็ถูกรถชนเสียชีวิต 3 ปีต่อมา ริชาร์ด อดัมสัน วัย 70 ปี ซึ่งเคยเป็นองค์รักษ์ให้แก่ ลอร์ดคาร์นาร์วอน ในการขุดสุสานฟาโรห์และยังมีชีวิตอยู่รอดเหลืออยู่คนเดียว ได้ให้สัมภาษณ์ทีวีอังกฤษถึงอิทธิฤทธิ์คำสาปแช่ง เขากล่าวว่า "ผมไม่เชื่อในคำสาปแช่ง" แต่หลังจากเดินออกจากสถานนีโทรทัศน์นั่งแท็กซี่กลับบ้าน ก็เกิดอุบัติเหตุเหวี่ยงเขาตกลงจากรถ และมีรถบรรทุกคันหนึ่งแล่นเฉียดหัวเขาไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่อดัมสันได้ถูกฤทธิ์ของของคำสาปแช่งครั้งแรกเมื่อเขา กล่าวว่าไม่เชื่อคำสาปแช่ง เมียเขาตายภายใน 24 ชั่วโมง ครั้งต่อมา ลูกเขาสันหลังหักจากเครื่องบินตก

อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาท ลอนดอน (Tower of London)

ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูกใช้เป็นที่คุมขังและ ประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้
จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นคร
ลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่งอังกฤษ!

เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ด้วยนะ ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยแต่อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะ
เป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็นเรื่องจริงจังอย่างเคร่งครัด เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่
มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้ม
ป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะ
อันตรธานไปเช่นกัน

อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ


ใน ค.ศ. 1979 มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์ ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่
แผ่นตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง เชื่อกันว่าตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับ
วิญญาณผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น

นอกจากนี้ การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรส
กว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโร


อันดับ 2 คําสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ


นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่ มรณกรรม
ในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ผู้คับแค้นจากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน เขาได้สาปไว้ก่อน
ที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813

ปธน.คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840 ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น
ลินคอล์น (1860) การ์ฟิลด์ (1880) แม็คคินลีย์ (1900) ฮาร์ดิ้ง (1920) รูสเวลท์ (1940) เคนเนดี้ (1960)

เพิ่งมีรอดรายเดียวคือ ปธน. เรแกน (1980) แต่ท่านก็ถูกมือปืนชื่อ จอห์น ฮิงค์ลีย์ ยิงบาดเจ็บสาหัสในปี 1981 นัยว่าปืนที่ใช้นั้นไร้ประสิทธิภาพ
ท่านจึงรอดพ้น อาถรรพณ์มาได้อย่างหวุดหวิด

อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden)



นับเป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลก โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ก็อดทรงเสกอาดัม-มนุษย์ผู้ชาย
ขึ้นก่อน จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็นอีฟ แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้นผลไม้
จากต้นแห่งความรู้หรือแอปเปิ้ล แต่ X งูตัวแสบ มันยุยงอีฟให้หมํ่าแอปเปิ้ลเข้าไป หมํ่าคนเดียวไม่พอ อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย
เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า ก็เป็นเรื่องซิครับ โดยนายงูจอมแสบ โดนสาปให้ไปไหนมาไหน ด้วยการ ใช้ท้องไถไป อีฟ โดนสาปให้คลอดลูก ด้วย
ความเจ็บปวดรวดร้าว ส่วนอาดัมต้องทํางานหา เลี้ยงท้องอย่าง เหน็ดเหนื่อยทั้งชีวิต


ที่มา :  http://ilovekamikaze.com/webboard/show/83245